ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย มีริ้วรอยเหี่ยวย่น เกิดจากสาเหตุอะไรกันนะ แล้วจะกลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกไหม?

ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยสร้างความไม่มั่นใจให้ใครหลายคน ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนในวัยเดียวกันแต่ใบหน้าเราดูไปไกลกว่าเพื่อนก็ยิ่งหมดความมั่นใจและเกิดความกังวล โดยปัญหาเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ต้องแก้ และหากอยากกลับมามีผิวที่ดูอ่อนเยาว์อีกครั้งจะต้องทำอย่างไรดี และแก้ไขด้วยวิธีใดจะเห็นผลที่สุด วันนี้เจยังคลินิกได้รวบรวมวิธีแก้ปัญหามาให้แล้ว จะมีวิธีใดบ้างไปดูกันเลย

หน้าแก่ เกิดจากอะไร ?

ปัญหาหน้าแก่ มีผิวหนังเหี่ยวย่นเกิดได้จากอายุที่มากขึ้นตามกาลเวลา ยิ่งอายุมากขึ้นผิวหนังจะยิ่งบางมากขึ้น เกิดรอยเหี่ยวย่น หยาบกร้าน ห้อยย้อย และยิ่งประสบกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แย่ก็ยิ่งเสี่ยงทำให้ผิวหน้าเหี่ยวได้ง่าย เจยังขอแบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักดังนี้

ปัจจัยภายใน (Intrinsic Aging)

➤ อายุที่มากขึ้น
ขณะที่เราอายุยังน้อย ใต้ผิวหนังของเราจะมีการสะสมไขมันอยู่บริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นแก้ม หน้าผาก รอบดวงตา หรือรอบปาก และเมื่ออายุมากขึ้นไขมันที่เคยสะสมอยู่ทั่วใบหน้าก็เริ่มสลายหายไป อีกทั้งร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง เซลล์ผิวสร้างอิลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพลง ทำให้ผิวหน้าไม่เหมือนเดิม เกิดความเหี่ยวย่น ไม่กระชับ ผิวหนังหย่อนคล้อย มีริ้วรอยที่เห็นชัด และยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงจากการหมดประจำเดือน ทำให้เกิดร่องรอยเหี่ยวย่นชัดเจนยิ่งขึ้น

➤ พักผ่อนไม่เพียงพอ
ช่วงเวลากลางคืนร่างกายจะหลั่งสาร Growth Hormone ออกมาเพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้เซลล์ส่วนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระถูกทำลาย คอลลาเจนใต้ผิวลดลง ทำให้เกิดปัญหาผิวที่เหี่ยวย่น ไม่กระชับ ดังนั้นจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน

➤ ความเครียด
หลาย ๆ คนเมื่อเกิดความเครียดจะแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้า เช่น ขมวดคิ้วจนเป็นปม หากเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ

ปัจจัยภายนอก (Extrinsic Aging)

ปัจจัยภายนอกที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวันก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความเหี่ยวย่น

➤ รังสี UVA/UVB
รังสี UVA และ UVB ในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้เกิดผิวคล้ำ แห้ง ขาดความชุ่มชื้น และทำให้เกิดฝ้า กระ ริ้วรอยได้โดยง่าย โดยรังสียูวีจะทำลายอีลาสตินภายในผิวส่งผลให้ผิวขาดความกระชับ ดังนั้นเจยังอยากแนะนำให้ทุกคนทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง

➤ มลพิษและสารเคมีต่าง ๆ
การได้รับมลพิษและสารเคมีในชีวิตประจำก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยและจุดด่างดำได้ง่าย ๆ

➤ ดื่มน้ำน้อย
การดื่มน้ำเยอะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันช่วยให้สุขภาพดีแถมยังมีประโยชน์ต่อผิว ทำให้ผิวอิ่มน้ำ กระชับ ริ้วรอยลดลง เนื่องจากร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้เซลล์ผิวเหี่ยวแห้ง ก่อให้เกิดริ้วรอยความเหี่ยวย่นได้ง่าย ดังนั้นเจยังจึงอยากชวนทุกคนดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ก็ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีได้

➤ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มาก ๆ จะส่งผลให้ผิวแห้ง หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่ายเช่นกัน

➤ สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ซึ่งมีสารนิโคตินและสารพิษอื่นๆ จะส่งผลกระทบต่อเซลล์ผิวทำให้เกิดริ้วรอย ความหยาบกร้าน แถมยังทำลายสุขภาพ

➤ ท่าทางการนอนหลับ
พฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำร้ายใบหน้าก็คือขณะที่เรานอนหลับด้วยท่าบางท่า เช่น การนอนคว่ำหน้าหรือตะแคงข้าง เป็นการกดทับใบหน้าเป็นเวลานานจนทำให้เกิดริ้วรอยได้

➤ ไม่ทะนุถนอมผิวหน้า
อีกหนึ่งพฤติกรรมที่ทำร้ายใบหน้าก็คือการไม่ทะนุถนอมผิวหน้า เช่น การเช็ดถูใบหน้าแรง ๆ การเอามือค้ำยันหน้าบ่อยๆรวมถึงการแต่งหน้าจัดเป็นเวลานาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการทำร้ายหน้าจนเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อยทั้งสิ้น

กู้หน้าแก่ให้กลับมาอ่อนเยาว์ได้อย่างไร

ปัญหาของผิวที่มีริ้วรอย หย่อนคล้อย ไม่กระชับอาจทำให้คุณดูหน้าแก่ก่อนวัยอันควร ดังนั้นเจยังจึงอยากแนะนำวิธีเหล่านี้เพื่อช่วยคงสภาพผิวหน้าให้คงอยู่และฟื้นฟูหรือเรียกคืนความอ่อนเยาว์ให้กลับมาได้อีกครั้ง

➤ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเพื่อช่วยบำรุงสภาพผิวให้ดูสุขภาพดี ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ไม่ให้ผิวแห้งกร้านจนเกิดริ้วรอย เลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนังอย่างกลีเซอรีน (Glycerin) หรือส่วนผสมสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยลดริ้วรอยและกระชับผิวหน้า เช่น สารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant), ไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic) หรือ โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10), วิตามินซี (Vitamin C), วิตามินอี (Vitamin E), เรตินอล (Retinol) เป็นต้น และควรทาทุกวันเป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

➤ ทาครีมกันแดด
นอกจากการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะแสงแดดเป็นตัวทำร้ายผิวมากกว่าที่เราคิด แสงแดดสามารถทำลายคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นใต้ผิวหน้าของเราได้ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยตามมา ดังนั้นเจยังอยากให้ทุกคนปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำและมีค่า SPF 30 ขึ้นไปก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในบ้าน การทาครีมกันแดดก็สำคัญอยู่ดีเพราะเรายังได้รับแสงจากหน้าต่างที่ส่องเข้ามา รวมถึงแสงจากหน้าจอที่เราใช้งานอีกด้วย

➤ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว
พฤติกรรมที่ทำร้ายผิวตรง ๆ ก็คือการทำลายสุขภาพทั่วไป เช่น การสูบบุหรี่ พักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ทะนุถนอมผิวหน้า ดื่มน้ำน้อย ดังนั้นเมื่อสามารถปรับพฤติกรรมเหล่านี้ได้ก็จะช่วยลดการทำร้ายผิวได้เช่นกัน แถมยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย

➤ ทานอาหารที่มีประโยชน์
เมื่อไหร่ที่ภายในดีก็ย่อมส่งผลออกมาสู่ภายนอก ดังนั้นการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์นอกจากจะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้วยังช่วยทำให้ผิวดีขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะการเลือกทานผักผลไม้ เช่น ส้ม แครอท ฟักทอง อะโวคาโด บลูเบอร์รี มะเขือเทศ บล็อกโคลี ถั่ว งาดำ ปลาแซลมอนและปลาทูน่า เป็นต้น

การทำตามวิธีข้างบนเป็นเรื่องที่ดีหากเราสามารถปฏิบัติได้เป็นปกติในทุก ๆ วัน แต่หากต้องการที่จะให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์เห็นผลได้เร็วมากขึ้น อีกหนึ่งวิธีที่เจยังอยากแนะนำคือการเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ที่ดูแลและให้คำแนะนำด้านผิวหนัง ความสวยความงาม ซึ่งวิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนจนใครต่อใครต้องทักว่าหน้าเด็กแน่นอน

➤ เลเซอร์ผิวหนัง (Laser Skin)

การเลเซอร์ผิวหนังเป็นการปรับสภาพผิวโดยการยิงแสงเลเซอร์ไปบริเวณผิวหนังที่มีความผิดปกติ และลอกชั้นผิวหนังออกทีละชั้น หรือที่เรียกว่าการกรอผิวด้วยแสงเลเซอร์ (Lasabrasion) ซึ่งการเลเซอร์กรอผิวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จึงช่วยลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น บริเวณรอบดวงตา ปาก หรือหน้าผากได้ โดยเลเซอร์ที่ใช้รักษาผิวพรรณจะมี 2 แบบ ได้แก่

คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 Laser)
เลเซอร์เออร์เบียม (Erbium: YAG laser)

โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการยิงแสงเลเซอร์ไปบริเวณผิวหนังที่มีความผิดปกติ ข้อเสียคือเมื่อได้รับการรักษาแล้วอาจต้องทำการพักฟื้น 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากผลกระทบที่อาจเกิดอาการบวม รอยช้ำ หรือรอยแดงเล็กน้อย และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดหลังทำ

➤ ฉีดฟิลเลอร์ (Filler)

ฟิลเลอร์ คือการฉีดสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ “HA” เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง ซึ่งช่วยเติมเต็มหรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง ช่วยลดและแก้ไขปัญหาผิว ทำให้ใบหน้าเต่งตึง ดูมีน้ำมีนวล ร่องลึกดูตื้นและนูนขึ้นดูอิ่มเอิบ อ่อนเยาว์ โดยเมื่อฉีดจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

การฉีดฟิลเลอร์สามารถทำได้หลายบริเวณ แต่บริเวณที่คนนิยมฉีดกันมากที่สุดคือ ใต้ตา คาง ร่องแก้ม ปาก ขมับ หน้าผาก และจมูก

อ่านเพิ่มเติม ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร

➤ การฉีดโบลดกราม

โบลดกราม ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย “คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม” (Clostridium botulinum) เชื้อโรคนี้หากได้รับมากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรืออาหารเป็นพิษ แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่น้อย ๆ พอเหมาะ จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวซึ่งเป็นผลดีต่อวงการแพทย์ เพราะเมื่อฉีดไปแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) เมื่อกล้ามเนื้อทำงานช้าลงจะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ เช่น หางตา หว่างคิ้ว หน้าผาก รอบดวงตา หรือปาก ซึ่งบริเวณเหล่านี้จะเป็นริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ เมื่อเราฉีดเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ก็จะหายไป แลดูอ่อนเยาว์มากขึ้น และยังช่วยทำให้รูปหน้าเรียวเล็ก กระชับผิวหน้า

➤ ร้อยไหม (Thread Lift)

ร้อยไหมคือ การใช้ไหมละลายหลายเส้นร้อยเข้าไปในใต้ผิวหนังโดยการใช้เข็มนำเส้นไหมเข้าไป โดยมีจุดยึดบริเวณแก้มส่วนล่างและบริเวณขมับดึงเข้าหากัน ทำให้สามารถดึงแก้มที่ย่อนคล้อนได้ การกระทำนี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ผิวได้น้อยและจะสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบเส้นไหมขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเต่งตึงจากการโดนรั้ง

การร้อยไหมจึงนิยมใช้เพื่อปรับรูปหน้า ยกกระชับหน้า กรอบหน้า ซึ่งสามารถเห็นผลได้ทันทีโดยไม่มีอันตรายหากร้อยด้วยวิธีที่ถูกต้อง และเมื่อถึงระยะเวลา 8 เดือน ไหมเหล่านี้ก็จะละลายหายไปเองโดยไม่ติดอยู่ใต้ผิวหนัง

อ่านเพิ่มเติม ร้อยไหม (Thread Lift) คืออะไร

➤ HIFU (High Intensity Focus Ultrasound)

เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง โดยจะส่งเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังในชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) หดตัว กระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ใต้ผิวหนัง เสมือนเป็นการดึงหน้า ทำให้ผิวยกกระชับและอ่อนเยาว์มากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัวจากการใช้เข็มฉีดอย่างฟิลเลอร์และโบลดกราม

การทำ HIFU จะสามารถเห็นผลทันทีหลังทำประมาณ 20-30% และจะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนประมาณ 3-4 เดือนหลังทำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมีใบหน้าอ่อนเยาว์โดยในระยะเวลาที่รวดเร็ว

➤ ศัลยกรรม

การศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าเป็นวิธีที่เห็นผลชัดเจนทันที แต่ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไหร่เนื่องจากการผ่าตัดมีค่าใช้จ่ายที่สูง อีกทั้งยังเจ็บตัวและใช้เวลาพักฟื้นนาน แถมยังมีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะจากยาสลบหรือความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ทำให้เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาค่อนข้างมาก

คลินิกเสริมความงามที่ช่วยแก้ไขใบหน้าให้อ่อนเยาว์

J Young Clinic (เจยัง คลินิก) คลินิกเสริมความงามย่านใจกลางอโศกที่มีประสบการณ์ในการให้บริการมากกว่า 10 ปี ให้คำปรึกษาเรื่องการต่อต้านริ้วรอย เลเซอร์ยกกระชับ โบลดกรามFILLER ร้อยไหม โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาว ๆ คนไหนที่สนใจอยากจะมีใบหน้าอ่อนเยาว์เห็นผลทันใจสามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการได้ที่ชั้น 3 อาคารไทมส์ สแควร์ อโศก BTS อโศก หรือ MRT สุขุมวิท เดินทางง่าย สะดวกและปลอดภัย สามารถติดต่อจองคิวล่วงหน้าได้ที่นี่