ฉายแสง กู้หน้าพัง ให้กลับมาหน้าขาวใสมากกว่าเดิม

ฉายแสง

เคยได้ยินกันบ่อยใช่ไหม เวลาเข้าคลินิกเสริมความงามไปรักษาสิว แล้วมักจะโดนถามว่า ต้องการฉายแสงฆ่าเชื้อสิว ไหมคะ? ใช่ค่ะ ความหมายหลักๆเลยก็คือการฉายแสงจริงๆ เพื่อฆ่าเชื้อสิวนั่นแหละ แต่บางคนอาจจะคิดว่า เพียงแค่มากดสิว ฉีดสิวอักเสบ ก็สามารถช่วยให้หน้าใสเรียบเนียนได้แล้ว แต่ที่จริงแล้ว การฉายแสงฆ่าเชื้อสิวนั้น มีประโยชน์มากกว่าที่เราคิดนะคะ เจยังจะอธิบายให้ฟังกัน ว่าการฉายแสงเนี่ยมันดียังไงบ้าง และมีแบบไหนให้เราเลือก

การฉายแสงรักษาสิว เป็นยังไง และดีจริงหรือ?

หลายคนคงเคยสงสัยแหละว่าเพียงแค่มีแสงมาส่องที่หน้ามันจะช่วยได้มากขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมคุณหมอหรือพนักงานความงาม ถึงชอบแนะนำกันนัก

การฉายแสงฆ่าเชื้อสิวหรือ เรียกกันว่า ฉายแสง LED เป็นการนำแสงรูปแบบหนึ่งที่มีประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อใช้รักษาควบคู่กับการรักษาสิว เรียกว่าเป็นคลื่นแสงที่ไม่ใช่คลื่นทั่วๆไปที่สายตาเรารับไว้แบบปกติ แต่แสงที่ใช้เป็นแสงที่มีพลังในการช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรียและฆ่าเชื้อที่เป็นบ่อเกิดของสิวได้ แสงที่ใช้เพื่อการรักษาสิวนั้น มีหลายสีด้วยกัน แต่ละแบบก็จะมีความเข้มข้นของแสงที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลขณะการเข้ารับการฉายแสง ประเมินจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เข้ากับผิวหน้าและสิวที่เกิดขึ้นมากที่สุด

ประเภทของแสง ที่ใช้ในการรักษาสิว มีดังนี้

1.แสงสีฟ้า (Blue light) ความยาวคลื่น 470 nm เน้นรักษาสิว

แสงสีฟ้า น่าจะเป็นแสงที่เราเจอกันประจำและบ่อยที่สุดแล้ว เพราะมีคุณสมบัติในการรักษาสิวได้ดี ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบ สิวติดสาร หรือสิวผด สิวแพ้ต่างๆที่เกิดขึ้น สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิวได้อย่างอยู่หมัด อีกทั้งแสงสีฟ้านี้ ยังสามารถช่วยลดการเกิดหน้ามัน รวมถึงสิวอุดตันได้ดีอีกด้วย

2.แสงสีเขียว (Green light) ความยาวคลื่น 527 nm เน้นรักษาจุดด่างดำ

แสงสีเขียวเป็นแสงที่เน้นเรื่องความกระจ่างใสบนใบหน้า สำหรับใครที่บนใบหน้ามีรอยดำ รอยแดง รอยสิว เจ้าแสงสีเขียวสามารถจะช่วยลดการเกิดรอยดำต่างๆได้ดี และสามารถทำลายการสร้างเม็ดสีที่ทำให้หน้าโทรมได้ เป็นแสงที่เน้นเรื่องความกระจ่างใสของใบหน้า ช่วยให้ใบหน้าสว่างสดใสขึ้นและยังมีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการแพ้ต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดีด้วย

3.แสงสีเหลือง (Yellow light) ความยาวคลื่น 590 nm เน้นกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

แสงสีเหลือง เป็นแสงอีกตัวที่มีความยาวคลื่นพอๆกับแสงสีเขียว จะเน้นเรื่องความกระจ่างใสบนใบหน้าได้ดีเช่นเดียวกัน แต่แสงสีเหลืองจะมีคุณสมบัติเพิ่มเติมคือ สามารถรักษาเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังได้ และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลือง และระบบไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้นได้

4.แสงสีแดง (Red light) ความยาวคลื่น 640 nm เน้นการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย

แสงสีแดงเป็นตัวที่มีคลื่นของแสงยาวกว่าตัวอื่นๆเลย เพราะเป็นแสงที่เด่นเรื่องการช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งทำหน้าที่ชะลอความแก่ลงได้ ทำให้หน้ามีน้ำมีนวล ใสขึ้น ช่วยปรับผิวหน้าให้เรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ดี ทำให้ริ้วรอยเล็กๆบนใบหน้าดีขึ้น ตื้นขึ้น และลดอาการอักเสบของสิวบนใบหน้าได้

แม้ว่าการฉายแสงรักษาสิว จะมีทั้งหมด 4 แบบและดีต่อผิวหน้าทั้งหมด แต่ก็ไม่จำเป็นนะคะที่เราจะต้องฉายแสงทั้งหมดให้ครบ ซึ่งการฉายแสง จำเป็นต้องดูผิวหน้า สภาพผิว การเกิดสิว สิวที่เกิดขึ้น รวมไปถึงอายุด้วย ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาอีกที

แล้วการฉายแสง ต่างจากเลเซอร์ยังไงนะ ?

จริงๆแล้วแสงที่ส่งมายังใบหน้าของเรา จะมีส่วนช่วยได้บางส่วนเท่านั้น ไม่ได้ตรงจุดเหมือนกับการทำเลเซอร์ซึ่งจะเห็นผลไวกว่า และตรงตำแหน่งที่เราต้องการมากกว่า การฉายแสงเป็นเพียงการรักษาผิวหนังที่วงการแพทย์ใช้รักษากันมาอย่างยาวนาน และมีผลในการช่วยรักษาสิวได้ ทำให้การรักษาสิวที่ฉายแสงควบคู่ไปด้วยกันจึงจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าการกด ฉีด รักษาสิวทั่วไป เพราะผิวหนังจะไม่เกิดอาการอักเสบและยังช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้อีกด้วย

แหล่งรวมความรู้เรื่องความงาม คลิกที่นี่

สนใจติดต่อ
Website : www.jyounggroup.com
Facebook : J Young Clinic
Line : @jyoung.clinic
Tel : 02-116-4251

หรือคลิกที่นี่เพื่อสอบถาม/จองคิว

แชร์บทความดี ๆ ให้เพื่อนอ่านกันเถอะ!

Share on facebook
Share
Share on twitter
Share

ติดตามโปรโมชั่นดี ๆ ได้ที่นี่

ติดตามโปรโมชั่นดี ๆ ได้ที่นี่

contact j young clinic เจยัง คลินิก